วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

พระราหู


รูปปั้น พระราหูเทพเจ้า แห่งโชคลาภนี่ผมปั้นไว้นานแล้วครับ ปั้นไว้แจกคนอื่นแต่เป็นรูปปั้นที่แรงมากนะครับ เล่นเอาผมกระอักเลือดเลยก็ว่าได้ สร้างความสับสนวุ่นวายในชีวิตผมอย่างมากทั้งๆที่ก่อนจะปั้นผมได้ไปจุดธูปขอเอาไว้ที่วัดศรีษะทองแล้วตามคำบอกของพี่คนหนึ่งแล้วก็ตาม ยังไม่วายเกิดเรื่องเลย จะขำก็เป็นตลกร้าย จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก นี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้วนะครับผมยังมีรอยสารพัดอาวุธอยู่เต็มหลังเลยครับ 555
..................................
แล้วตอนนี้ก็กำลังถอดพิมพ์ พระราหู องค์นี้ใหม่ครับ
จะทำทั้งที่เป็น
พระราหูอมจันทร์ และ พระราหูอมพระอาทิตย์
จะนำไปทำบุญถวายที่ วัดศรีษะทอง หนึ่งคู่
และวัด หลวงพ่อเปิ่น(วัดบางพระ) อีกหนึ่งคู่ครับ
..........

ส่วนวิธีการบูชาพระราหูและดูงานเรื่องอื่นๆก็คลิ๊กที่
ครับ
.........

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

โคมไฟเรซิ่น(resin lamp)


อันนี้เป็นโคมไฟเรซิ่นแบบแขวนครับ สีขาวขุ่น

เห็นรูปร่างอย่างนี้หล่อเรซิ่นอยากมากครับ

ช่างที่หล่อเรซิ่น หล่อไฟเบอร์กลาสเก่งๆพอเจอ

งานหล่อโคมไฟเรซิ่นมักจะถอยเกือบทุกราย ครับ
.................

โคมไฟเรซี่น(resin lamp)











โคมไฟเรซิ่นที่ทำมาครับเป็นรูปปลาดาว และหอย




เป็นโคมไฟเรซิ่นแบบติดผนังเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ20ซม.




ทำตามสั่งครับไม่มีขาย แต่สีที่ทำในเนื้อ




ดูจะมีชีวิตชีวามากกว่าสีที่เกิดจากการเพ้นท์ครับ
.......................

พระสยามเทวาธิราช


พระสยามเทวาธิราชองค์นี้แหละครับผมปั้นไว้สูงประมาณ9นิ้วไม่รวมฐาน

กะว่าจะปิดทองคำเปลวซะหน่อย แต่เอาไว้ก่อนครับ

หลายคนคงอยากรู้ว่าพระสยามเทวาธิราชคือใคร

ผมเลยเอาประวัติย่อๆมาฝากครับ เรื่องมีอยู่ว่า

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 ทรงมีพระราชดำริว่า

เมืองไทยคงจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งคอยพิทักษ์รักษาอยู่อย่างแน่นอน

เพราะในสมัยของพระองค์นั้น เป็นระยะเวลาที่ประเทศมหาอำนาจทางยุโรป

ได้เข้ามามีบทบาททางภูมิภาคแถบเอเซียอาคเนย์ และใช้อำนาจอิทธิพลเข้าคุกคาม

จนสามารถดึงเอาประเทศต่างๆเหล่านั้นไปเป็นเมืองขึ้นและอาณานิคนจนหมด
จะเหลือรอดมาได้ก็แต่ประเทศไทย

เห็นสมควรจะได้จัดทำเทวรูปพระองค์นั้นขึ้นไว้สักการะบูชา

จึงโปรดให้ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ เมื่อครั้งดำรงพระยศหม่อมเจ้า

รับราชการเป็นช่างเอกในกรมช่างสิบหมู่ ปั้นหล่อรูปสมมุติของเทพพระองค์นั้นขึ้นมา

มีลักษณะเป็นเทวรูปยืน ทรงเครื่องต้น พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์

ยกพระหัตถ์ซ้ายเสมอพระอุระ ในท่าปางประทานพร มีขนาดสูง8 นิ้วฟุต

เมื่อได้สัดส่วนงดงามดีแล้วจึงโปรดให้หล่อขึ้นด้วยทองคำทั้งองค์

เสร็จแล้วถวายพระนามว่า

พระสยามเทวาธิราช

ครับ
ส่วนเรื่องอื่นของผมหาดูเพิ่มเติมที่
.................

พระพิฆเนศ









พระพิฆเนศทั้งหมดนี้ไม่ใช่ฝีมือผมคนเดียวนะครับนะครับ
องค์แรกเป็นฝีมือของอาจารย์เพาะช่างและเป็นฝีมือของเพื่อนผม
ชื่อเอ็ดจ์แห่งไม้ปั้นดอทคอมครับผม
ส่วนของผมเป็นพระพิฆเนศนูนสูงองค์ใหญ่ครับ
เรื่องอื่นๆก็ดูได้จาก
ครับ
............

พระวิษณุกรรม






วันนี้มีของมาอวดเหล่าช่างศิลป์ทั้งหลายผู้ทำมาหากินเกี่ยวกับงานช่างฝีมือ


งานศิลปะและช่างทั่วไปอื่นอีกมากมาย

เป็นเหรียญพระวิษณุกรรมครับผม ของโรงเรียนเพาะช่าง ผมมี2เหรียญครับ

คือเหรียญเงินที่แขวนประจำกับเหรียญทองแดงที่เก็บไว้อย่างดี

ด้านหลังบรรจุผงทองคำเปลวที่ลอกออกมาจากพระวิษณุกรรมองค์ใหญ่

หน้าโรงเรียนเพาะช่างครับ

*********


พระวิศวกรรม หรือเรียกได้อีกหลายชื่อว่า

พระวิษณุกรรม พระวิสสุกรรม พระเวสสุกรรม หรือ พระเพชรฉลูกรรม

เป็น เทวดานายช่างใหญ่ของพระอินทร์

ตามตำนานกล่าวว่า เป็นผู้สร้างเครื่องมือ สิ่งของต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น

และเป็นแบบอย่างให้กับมนุษย์สืบมา
พระวิศวกรรมรับเทวโองการต่าง ๆจากพระอินทร์

เพื่อสร้าง อุปกรณ์ สิ่งของ อาคาร ต่าง ๆ มากมาย

เป็นผู้นำวิชาช่าง มาสอนแก่มนุษย์

นับแต่นั้นมามนุษย์จึงรู้จักการสร้างและใช้งานสิ่งของต่าง ๆ

จนมีการพัฒนารูปแบบมาจนถึงปัจจุบันนี้
ช่างไทยแขนงต่าง ๆ ให้ความเคารพบูชาพระวิศวกรรมในฐานะครูช่าง

หรือเทพแห่งวิศวกรรมของไทย

โดยเรามักพบเห็นรูปจำลององค์ท่านได้บ่อย ๆ ตามสถานศึกษาทางช่างทุกสถาบัน

โดยนิยมสร้างอยู่สองท่า คือ

ท่าประทับนั่งห้อยพระบาท พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือ ผึ่ง (จอบสำหรับขุดไม้)

และอีกข้างถือ ดิ่ง และท่าประทับยืนมือขวาถือไม้เมตรหรือไม้วา

มือซ้ายถือลูกดิ่งและไม้ฉาก
ที่มาขององค์พระวิษณุกรรมทั้ง 2 ท่านี้

พอขยายความได้ว่า หากสถาบันใดเปิดสอนวิชาชีพช่างก่อสร้าง

มักอยู่ในท่ายืนมือถือลูกดิ่งและไม้เมตรหรือไม้วาอันเป็นเครื่องมือของช่างก่อสร้าง

มาแต่สมัยโบราณซึ่งช่างทั้งหลายทราบดีว่าเป็นเครื่องมือสำหรับวัดระยะ

วัดความเที่ยงตรง แต่สิ่งที่นอกเหนือไปจากนั้นยังแฝงไปด้วยปรัชญาในการดำเนินชีวิต

คือความแม่นยำ เที่ยงตรง ไม่เอนเอียงในทางปฏิบัติ

ซึ่งเป็นที่มาของช่างที่ดี คือความมีคุณธรรมประจำใจ

หากสถาบันใดเปิดสอนวิชาชีพสาขาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ช่างก่อสร้างอยู่ด้วย

มักจะใช้ท่านั่ง เข้าใจว่าผู้สร้างคงจะชี้ให้เห็นเด่นชัดถึงสถาบันผู้ผลิตช่างก่อสร้าง

อันเป็นช่างเก่าแก่มีมาแต่ก่อนแล้ว
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ พระวิษณุกรรม และ พระวิษณุ

คนไทยเรียกพระวิศวกรรมว่า 'พระวิษณุกรรม'

และในที่สุดได้กร่อนลงเหลือเพียง 'พระวิษณุ'

ซึ่งเป็นชื่อของเทพที่คนไทยรู้จักกันในฐานะหนึ่งใน ๓ เทพสำคัญของศาสนาฮินดู

อันได้แก่ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ

ทำให้หลายคนเข้าใจว่าพระวิษณุเป็นเทพแห่งวิศวกรรม

ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ในพระไตรปิฎก(อรรถกถา) กล่าวว่า ท่านเป็นผู้สร้างอาศรมให้แก่พระโพธิสัตว์หลายพระองค์

(ก่อนที่จะอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า) เช่นในพระเวสสันดรชาดก

เป็นผู้สร้างบันไดเงิน บันไดทอง บันไดแก้ว

ทอดจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมายังโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัสสนคร

ซึ่งเป็นเส้นทางที่พระพุทธเจ้าใช้เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

(หลังจากเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ในช่วงเข้าพรรษา)
นอกจากจะเป็นสถาปนิกและเป็นวิศวกรด้านโยธาและสำรวจ

ดังจะเห็นได้จากผลงาน ๒ ประการที่ว่านี้แล้ว

พระวิศวกรรมายังเป็นวิศวกรเครื่องกลอีกด้วย

กล่าวคือ ท่านเป็นผู้สร้างวาฬสังฆาตยนต์

ซึ่งเป็นกงล้อหมุนรอบองค์พระสถูป

ปกปักรักษาป้องกันมิให้บุคคลเข้าใกล้พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า

เมื่อครั้งที่พระเจ้าอชาตศัตรูได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุหลังพุทธปรินิพพาน

และอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในองค์พระสถูปที่ว่านี้

"กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร ฯ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต

สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"

หมายถึง กรุงเทพมหานคร เมืองแห่งเทวดานั้น

พระวิษณุกรรม เป็นผู้สร้าง ตามพระบัญชาของพระอินทร์


งานอื่นๆของผมก็คลิ๊กข้างล่างเลยครับ





........

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แกะโฟม(foam caving)

อันนี้เป็นงานแกะโฟมรูปพระยานาคพ่นน้ำอีกชิ้นหนึ่งเอามาให้ดูก่อนที่เราจะนำไปทำพิมพ์เพื่อหล่อไฟเบอร์กลาสแล้วทำสีต่อไป

กินรี




กินรีรูปนี้ปั้นไว้นานแล้วครับเป็นรูปนูนต่ำ ทุกวันนี้ก็อปปี้ขายกันเกลื่อนตลาดแล้วครับ


ทุกเจ้าจะบอกว่าปั้นเองหรือไม่ก็จะบอกว่ามีทีมช่างเอง ออกแบบเอง ประมาณนี้แหละครับ


แต่ที่เห็นอยู่นี้เป็นต้นแบบปูนพลาสเตอร์หินครับ ว่าจะถอดพิมพ์เอาไว้แจกชาวบ้านครับ


ส่วนงานอื่นก็ดูได้จาก




ครับ