วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553

สวัสดี ปี ๒๕๕๓

วันนี้เป็นวันดี ที่สะสางงานและเงินให้ทีมงานเรียบร้อยแล้ว
ก็เลยมานั่งนึกว่าเราจะไปไหนดี
แว็ปขึ้นมาในสมองตอนนั้นคือไปวัดพระแก้วและอีก 2-3 วัดใกล้ๆกันนั้น
แต่จากประสพการณ์ปีที่ผ่านๆมาก็เลยมานึกดูว่า
ถ้าเราไปตรงกับวันที่ 31 ธค.-2 มค. คงไม่ดีแน่
เพราะคนแน่นมากถึงมากๆและมากสุดๆ
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเต็มไปหมดผิดจากที่เคยคิดว่า
คนหนีไปเที่ยวต่างจังหวัดหมดในกรุงเทพคงจะโล่งกว่าปกติ
.......
ทีนี้ไหนๆงานเราก็เสร็จแล้วรีบไปกันดีกว่า
ก็ได้ไหว้พระแก้วมรกตสมใจอยากครับ
สำหรับวัดแห่งนี้นะครับผมว่าต่อให้มาทุกวันเป็นปีๆก็ศึกษาได้ไม่หมดแน่ครับ
เพราะเป็นสถานที่ๆรวบรวมศิลปะวิทยาต่างๆของไทยไว้เต็มไปหมด

ออกจากวัดพระแก้วแล้ว ก็ ตรงไปขึ้นเรือข้ามฟาก
ไปต่อกันที่วัดระฆังโฆสิตาราม
หรือที่เรียกง่ายๆว่าวัดสมเด็จโตนะแหละครับ
ซึ่งเป็นหนึ่งในวัดที่ผมไปบ่อยที่สุดพอๆกับวัดอินทร์บางขุนพรหม
ตอนจะกลับก็พอดีมีเรือนำเที่ยวมา โดยจะนำเราไปส่งที่
วัดอรุณฯ และวัดกัลยาณมิตรแล้วก็วนกลับมาที่วัดระฆังฯ
ด้วยค่าโดยสารไป-กลับ
30 บาทต่อคน

พอมาถึงวัดอรุณก็ไม่ลงครับนั่งต่อไปถึงวัดกัลยาฯเลย
กะว่าจะแวะวัดอรุณตอนขากลับแล้วข้ามไปท่าเตียนเพื่อจะไปวัดโพธิ์


พระประธานในโบสถ์วัดกัลยาฯครับ
ยิ่งใหญ่อลังการมโหฬารกว่าที่คิด
...............
เหตุที่ไปใหว้พระหนนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากบทความก่อนหน้านี้ครับ
ที่หลงผิดไปรับงานกับคนบางคนเข้า
ก็เลยไปกราบพระประธานที่วัด
เพื่อบอกกล่าว ขอขมาลาโทษ
ต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป
และการถวายพระ 9 องค์ที่ตั้งใจไว้ก็ยังไม่ครบ
และไม่ทันในสิ้นปี2552นี้
แต่ก็ไม่เป็นไรครับเจตนายังคงเดิมและจิตใจยังพร้อมเสมอ
......
หลังจากนี้ก็ได้เตรียมงานที่จะปั้นพระองค์ใหม่แล้วครับ
ที่นี้จะปั้นตามตำราของครูบาอาจารย์จริงๆเป็นขนบประเพณีนิยมจริงๆ
ไม่ใช่ปั้นตามนิมิตรบิดๆเบี้ยวๆ ของคนบางกลุ่มบางอาชีพ
ไม่เรี่ยไร ทำเสร็จแล้วค่อยบอกกล่าวกับคนรอบตัว
จะไม่ให้พวกหมอดู-ร่างทรงและบรรดาลูกศิษย์
ที่แสวงหาผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างได
เพราะแรกเข้ามาก็ด้วยใจบริสุทธิ์แต่เมื่อมีคนมากเข้า
ก็เริ่มคิดแต่จะทำให้ซ้บซ้อนและซิกแซกเพื่อหวังผลตอบแทนในตอนหลัง

.............
เกี่วยกับงานอื่นที่ทำก็คลิ๊กที่

www.arts-108.blogspot.com

ครับ
.............